วิธีการแผ่เมตตาให้ได้ผล ทำได้จะเจริญรุ่งเรืองมาก
ความเมตตาเปรียบเสมือนสายน้ำและเปรียบเสมือนผืนป่าอันร่มรื่น ถ้าเราปลูกฝังบ่มเพาะเมตตาจิตลงไปในใจของเรามากขึ้น ๆ ตัวเราเองก็จะรื่นรมย์ เหมือนกับว่าเรานั้นมีธารน้ำหลั่งไหลอยู่ภายในตัว เหมือนกับตัวเราเองนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ตัวเราเองก็มีความชุ่มเย็นอยู่ภายใน ใครมาก็พลอยชุ่มเย็นตามไปด้วย ฉะนั้นการแผ่เมตตาให้คนที่เราโกรธนั้น อย่าไปแผ่ตอนที่เราโกรธ แต่ควรจะฝึกให้มันเป็นวิถีชีวิตของเราทุกวัน ๆ จนกระทั่งว่าเมตตากับวิถีชีวิตของเรากลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ในสมัยพุทธกาล เวลาที่พระอริยสาวกเจอกัน ท่านมักจะถามกันว่า “ท่านสารีบุตรท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร” พระสารีบุตรก็จะตอบว่า “ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหาร”“ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยสุญญตาพรหมวิหาร” หรือ“ช่วงนี้ผมอยู่ด้วยกรุณาพรหมวิหาร”
คำว่า “วิหาร” แปลว่า คุณธรรมประจำจิตประจำใจ เราทุกคนควรจะฝึกจิตฝึกใจของเราให้มีเมตตาเป็นเรือนใจเอาไว้เป็นพื้นฐานถ้าเรามีเมตตาเป็นเรือนใจเป็นพื้นฐานอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาโกรธขึ้นมา เราไม่ต้องภาวนามากมาย แค่กลับมาแผ่เมตตาในจิตในใจให้ตัวเอง แล้วก็ให้คนที่เขาทำให้เราโกรธ แค่นั้นเอง แม่น้ำแห่งเมตตาก็จะแสดงปาฏิหาริย์แห่งความชุ่มเย็นให้ปรากฏ
การที่คนจำนวนมากแผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขามัวแต่จะแผ่เมตตา แต่ไม่มีเมตตาที่จะนำไปแผ่ เห็นไหม ก่อนแผ่เมตตาจะต้องสร้างเมตตาจิตขึ้นในจิตในใจของตัวเองจนกระทั่งว่าให้ผลเป็นความชุ่มเย็นในจิตในใจของตัวเองก่อน แล้วจากนั้นจึงค่อยแผ่ออกไปกระแสแห่งเมตตาก็จะค่อย ๆ เลื่อนไหลไปถึงคนที่เป็นเป้าหมายที่เราแผ่เมตตาให้เขา คนจำนวนมากที่แผ่เมตตาแล้วไม่ได้ผล เพราะเขาแผ่เมตตาแต่ปาก แต่ใจของเขานั้นยังเต็มไปด้วยความโกรธอยู่เหมือนเดิม ฉะนั้นรากฐานของการแผ่เมตตาที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่ปาก
ส่วนถ้อยคำสำหรับแผ่เมตตานั้น ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทยขอเพียงเรานึกแผ่ความปรารถนาดีออกไปจากใจเราอย่างแท้จริง พลังของจิตก็จะกระทบจิตที่เป็นเป้าหมายได้โดยตรง อย่ากังวลต่อถ้อยคำแต่จงกังวลว่า เวลาที่เราแผ่ความปรารถนาดีไปให้ใคร เรามีความจริงใจอยู่ในนั้นหรือเปล่า ถ้าเรามีความจริงใจที่ปรารถนาจะให้เขาอยู่ดีมีความสุข แม้ไม่ต้องท่องออกมาเป็นถ้อยคำแต่ใช้เพียงกระแสแห่งจิตที่คิดถึงเขาในทางกุศลแค่นั้นการแผ่เมตตาก็สำเร็จเหมือนกัน”
ที่มา : คอลัมน์ SPIRITUAL JOURNEY นิตยสาร Secret เขียนโดย ท่าน ว. วชิรเมธี